สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495
เวลา 17 นาฬิกา 45 นาที
ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ทรงเป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว
ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชสมภพ ตรงกับ วันจันทร์ ขึ้น 6 ค่ำ
เดือน 9 ปีมะโรง จัตวาศก อธิกวาร จุลศักราช 1314 นับเป็นปีที่ 7 แห่งการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระนามเมื่อแรกประสูติว่า
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ
เทเวศรธำรงสุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร
กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร
ในขณะเมื่อทรงพระราชสมภพนั้น
ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศต่างเฝ้ารอคอยพระประสูติการต่างปลาบปลื้มปีติ ดังที่
ศาสตราจารย์หม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิกุล
ได้บรรยายถึงบรรยากาศก่อนเวลาเสด็จพระราชสมภพ ตราบจนถึงนาทีอันเป็นมงคลฤกษ์ว่า
"วันนี้ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนตั้งแต่เช้า ฝนไม่ได้ตกมานาน
นายแพทย์ผู้ถวายการประสูติเข้าประจำที่สักครู่ก็ประสูติพระราชกุมาร เวลา 17 นาฬิกา กับ 45 นาที
ในนาทีเดียวกันนั้นเอง ฝนที่แล้งมาตลอดฤดูก็เริ่มโปรยปรายละอองลงมา ดูคล้ายๆ
ฟ้าก็รู้เห็นเป็นใจกับการประสูติครั้งนี้ อารามดีใจสมประสงค์ของดวงใจทุกๆ ดวง
นายแพทย์ที่ถวายการประสูติ ซึ่งพร้อมที่จะบอกแก่ที่ประชุม ณ พระที่นั่งอัมพรสถานว่า
พระราชโอรส หรือ พระราชธิดา กล่าวออกมาด้วยเสียงอันตื่นเต้นกังวานว่า ผู้ชาย
แทนที่จะว่า พระราชโอรส ฝนโปรยอยู่ตลอดเวลา แตรสังข์ดุริยางค์เริ่มประโคม
ทหารบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบาร มีปืนใหญ่ทั้งบกและเรือยิงสะเทือนเลื่อนลั่น
เสียงไชโยโห่ร้องก็ดังอยู่สนั่นหวั่นไหว
สมใจประชาชนแล้ว...ดวงใจทุกดวงมีความสุข"
ทรงมีพระเชษฐภคินี คือ
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และพระขนิษฐา 2 พระองค์ คือ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ
สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีทรงเข้ารับการศึกษาระดับอนุบาลที่พระที่นั่งอุดร
พระราชวังดุสิต และทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา
ที่โรงเรียนจิตรลดา ระหว่างปี 2499-2505 รวมถึงที่ประเทศอังกฤษ ระหว่างปี 2509-2513
ก่อนทรงเข้าศึกษาระดับเตรียมทหารที่โรงเรียนคิงส์ นครซิดนีย์
ประเทศออสเตรเลีย แล้วทรงเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา
ทรงได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต(การศึกษาด้านทหาร) คณะการศึกษาด้านทหาร
จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อ 2519 นอกจากนี้
ยังทรงศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ระหว่างปี 2520-2521 ทรงได้รับปริญญานิติศาสตรบัณฑิต
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อปี 2530 จวบจนกระทั่งปี 2533
ยังทรงได้รับการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ประเทศอังกฤษ ในวันที่ 28
ธันวาคม 2515 พสกนิกรชาวไทยต่างปลาบปลื้มยินดี
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี
จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ เฉลิมพระอิสริยยศแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งสมเด็จพระยุพราชมกุฎราชกุมาร
อันเป็นตำแหน่งพระรัชทายาทที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงสถาปนาขึ้น
และประกาศสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร
เพื่อรับราชสมบัติปกครองราชอาณาจักรสืบสนองพระองค์
โดยมีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิติยสมบูรณสวางควัฒน์
วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธ
สยามมกุฎราชกุมาร"
พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์มาโดยตลอด
เพื่อแบ่งเบาพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ทั้งในการพระราชพิธีสำคัญ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรไทย
และพระราชพิธีทางศาสนาต่างๆ นอกจากนี้ได้โดยเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินไปแปรพระราชฐานประทับแรมตามภูมิภาคต่างๆ
ของประเทศไทย โดยทรงติดตามความก้าวหน้าด้านการชลประทาน การสร้างเขื่อนต่างๆ
และพระราชทานแนวพระราชดำริให้กรมชลประทานแก้ปัญหาตามที่ชาวบ้านกราบทูล
ส่งให้ราษฎรมีน้ำใช้ในการเกษตรอย่างอุดมสมบูรณ์และช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในฤดูฝน
ด้านการแพทย์และสาธารณสุข
ทรงตระหนักถึงสุขภาพพลานามัยอันดีของประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญของการสร้างสรรค์ทรัพยากรบุคคล
จึงทรงสนพระราชหฤทัยในการประกอบพระราชกรณียกิจ เช่น
เมื่อรัฐบาลได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชขึ้น 21 แห่งทั่วประเทศ
เพื่อให้การรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยในถิ่นทุรกันดาร
โดยที่พระองค์ทรงเป็นองค์นายกกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช
ด้านการศึกษา
ทรงรับโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร
6 โรงเรียน ไว้ในพระราชูปถัมภ์
และพระราชทานวัสดุอุปกรณ์การศึกษาอันทันสมัยต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์แก่นักเรียน รวมทั้งยังเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมโรงเรียน
ทรงติดตามผลการศึกษา และโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระราชธิดาทั้งสองพระองค์
ทรงร่วมกิจกรรมของโรงเรียนต่าง ๆ เสมอ ขณะที่ในการศึกษาระดับอุดมศึกษา
พระองค์ได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตของมหาวิทยาลัยต่างๆ
อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
ด้านสังคมสงเคราะห์
ทรงมีความห่วงใยต่อประชาชนผู้ด้อยโอกาส
โดยได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ หลายแห่ง
และทรงพระกรุณาพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องกีฬา เครื่องดับเพลิง
โปรดเกล้าฯ ให้กรมทหารในบังคับบัญชาของพระองค์ ร่วมกับประชาชนพัฒนาสิ่งแวดล้อม
ทั้งยังพระราชทานพระราชทรัพย์สนับสนุนโครงการของชุมชน เช่น
โครงการพัฒนาเด็กเล็กที่ขาดแคลนและโครงการปราบปรามยาเสพติดในหมู่เยาวชนชุมชนแออัดคลองเตยเป็นต้น
ด้านการต่างประเทศ
ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆโดยเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงเยือนมิตรประเทศทั่วทุกทวีปอย่างเป็นทางการเป็นประจำทุกปี
ปีละหลายครั้ง ซึ่งในการเสด็จพระราชดำเนินไปทุกครั้ง
ทรงเตรียมพระองค์ด้วยการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับประเทศที่จะทรงเสด็จฯ ไปทรงเยือน
และระหว่างประทับอยู่ในประเทศนั้น ๆ
ยังทรงสนพระราชหฤทัยในการทอดพระเนตรและทรงศึกษากิจกรรมต่าง ๆ
ที่สามารถนำมาเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาบ้านเมืองไทยด้วย
ด้านการเกษตรกรรม
ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อส่งเสริมกิจการด้านเกษตรกรรม
เช่น เสด็จฯ แทนพระองค์ในการพระราชพิธีพืชมงคล
ด้านการพระศาสนา
ทรงเสด็จฯ
แทนพระองค์ไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจทางศาสนาเป็นประจำสม่ำเสมอ เช่น
ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามฤดูกาล
รวมถึงการเสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานถ้วยรางวัล
การทดสอบการอัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านระดับประเทศ
ด้านการกีฬา
ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งในผู้แทนพระองค์และในส่วนของพระองค์เอง เช่น พระราชทานไฟพระฤกษ์กีฬาเยาวชนแห่งชาติ
พระราชทานพระราชวโรกาสให้นักกีฬาไทยเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทรับพระราชทานรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม
ด้านการทหาร
ทรงสนพระราชหฤทัยในวิทยาการด้านการทหารมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
นอกจากทรงรับการศึกษาด้านการทหารจากประเทศออสเตรเลียแล้ว
ยังทรงพระวิริยะอุตสาหะเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์อยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะในด้านวิทยาการการบิน ทรงรับราชการทหารมาโดยตลอดตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.2518
และทรงดำรงพระยศทางทหารของ 3 เหล่าทัพ คือ
พล.อ. พล.ร.อ. พล.อ.อ.
โดยทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการร้ายในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
รวมทั้งการคุ้มกันพื้นที่ในบริเวณรอบค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชา ที่เขาล้าน จ.ตราด
อีกทั้งยังเสด็จพระราชดำเนินไปในพิธีการด้านทหาร อาทิ งานวันราชวัลลภ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น