ระบบสุริยะและดวงดาว



ระบบสุริยะ คือ ระบบที่มีดวงอาทิตย์ (SUN) เป็นศูนย์กลาง และมีบริวาร คือ ดาวเคราะห์  8 ดวง (ในอดีตมีการนับดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ทั้งหมด 9 ดวง แต่ในปี 2549 มีการตัดดาวพลูโตออกจากระบบ) 
ถ้าใช้ระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ ดาวพุธและดาวศุกร์จัดเป็นดาวเคราะห์วงใน เพราะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์น้อยกว่าโลก จึงมี วงโคจรสั้นกว่า  ส่วนดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวศุกร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน จัดเป็นดาวเคราะห์วงนอก เพราะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่าโลก จึงมีวงโคจรยาวกว่าโลก
จักรวาล หมายถึง ห้วงอวกาศที่บรรจุไว้ด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ต่างๆจำนวนมหาศาล ระหว่างดวงดาวก็มีก๊าซและฝุ่นผงเกาะกลุ่มกันบ้าง กระจายกันอยู่บ้าง บรรดาดวงดาวในจักรวาลจะไม่กระจายกันอยู่ แต่จะรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่ม เรียกว่า กาแล็กซี (GALAXY)  ดวงดาวที่เรามองเห็นในท้องฟ้าล้วนอยู่ในกาแล็กซีเดียวกัน มีชื่อเรียกว่า กาแล็กซีทางช้างเผือก
ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์
- ดาวฤกษ์  คือ ดาวที่มีแสงสว่างในตัวเอง
- ดวงอาทิตย์ (SUN) เป็นดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ มีขนาดใหญ่กว่าโลก 108 เท่า
- ดาวเคราะห์  หมายถึง วัตถุท้องฟ้าที่โคจรรอบดาวฤกษ์ (ดวงอาทิตย์) โดยที่ตัวมันเองไม่เป็นดาวฤกษ์และดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ดวงอื่น นอกจากนี้ ยังเป็นดาวที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง ดาวเคราะห์ที่เราสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่ามี 5 ดวง คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์
บริวารของดวงอาทิตย์
        1. ดาวเคราะห์ที่เป็นบริวารของดวงอาทิตย์
        ระบบของดวงดาวที่ประกอบด้วย ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์เป็นบริวาร 8 ดวง ซึ่งเรียงลำดับจากดวงที่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด ไปหาดวงที่อยู่ไกลดวงอาทิตย์มากที่สุด ดังนี้ ดาวพุธ, ดาวศุกร์, โลก,ดาวอังคาร, ดาวพฤหัสบดี, ดาวเสาร์, ดาวยูเรนัส ,ดาวเนปจูน แต่เดิม มีการนับดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ที่อยู่ไกลดวงอาทิตย์มากที่สุด โดยถูกจัดชั้นใหม่ให้เป็น “ดาวเคราะห์แคระ”เพราะดาวพลูโตแตกต่างจากดาวเคราะห์อีก 8 ดวงที่อยู่ในระบบมาก ไม่ว่าจะเป็นระยะทางที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์และมีขนาดเล็กกว่าดาวเคราะห์อีก 8 ดวง และดาวพลูโตไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดและวงโคจรของสิ่งต่างๆที่อยู่นอกระบบสุริยะ
        1. ดาวพุธ (Mercury) เป็นดาวเคราะห์ที่เล็กกว่าโลกและใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด มีอุณหภูมิด้านที่สว่างและมือแตกต่างกันมาก เนื่องจากไม่มีบรรยากาศห่อหุ้มใช้เวลาในการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์สั้นที่สุด ดังนั้น ดาวพุธจึงอยู่ในตำแหน่งที่ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์มากกว่าโลก เราสามารถมองเห็นดาวพุธด้วยตาเปล่าในตอนเช้าก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นครึ่งชั่วโมง และหลังจากดวงอาทิตย์ตกครึ่งชั่วโมง ดาวพุธได้ชื่อว่า“เตาไฟแช่แข็ง”เพราะด้านสว่างมีสภาพร้อนจัด ขณะที่ด้านมืดมีสภาพเย็นจัด
        ลักษณะพื้นผิวของดาวพุธ ขรุขระเต็มไปด้วยก้อนหินและฝุ่น มีหลุมลึกและอุกกาบาตคล้ายผิวของดวงจันทร์ ไม่มีน้ำ ไม่มีอากาศ ดาวพุธมีขนาดใหญ่กว่าดวงจันทร์บริวารของโลกเล็กน้อย  
ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์ “สีฟ้า”และไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร


        2.  ดาวศุกร์ (Venus) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 2 มีขนาดเล็กกว่าโลกเล็กน้อย จึงได้ชื่อว่า เป็นฝาแฝดกับโลก  แต่มีองค์ประกอบของบรรยากาศที่แตกต่างกันมาก ไม่มีออกซิเจนและไอน้ำ ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่ปรากฏแสงสว่างที่สุด รองจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เท่านั้น ถ้ามองเห็นดาวศุกร์ทางทิศตะวันออกก่อนรุ่งอรุณ เรียกว่า ดาวประกายพรึก ทั้งนี้เพราะดาวศุกร์อยู่ทางทิศตะวันตกของดวงอาทิตย์ จึงขึ้นก่อนดวงอาทิตย์และตกก่อนดวงอาทิตย์ แต่ถ้าอยู่ทางทิศตะวันออกของดวงอาทิตย์ ดาวศุกร์จะขึ้นหลังดวงอาทิตย์ และจะตกหลังดวงอาทิตย์ นั้นคือ เมื่อดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ดาวศุกร์จะปรากฏอยู่เหนือขอบฟ้าด้านตะวันตก เรียกว่า ดาวประจำเมือง
        ดาวศุกร์มีข้อแตกต่างจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆมาก เพราะหมุนรอบตัวเองในทิศทางตรงกันข้ามกับดาวเคราะห์ดวงอื่น คือ หมุนตามเข็มนาฬิกา หมุนรอบตัวเองจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก  ระยะเวลา 1 วันของดาวศุกร์ยาวนานเท่ากับ 117 วันของโลก ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ “สีเหลือง”  และไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร
        3. โลก (Earth) ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 3 เป็นดาวเคราะห์ สีน้ำเงิน พื้นผิวส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำ 3 ใน 4 ของพื้นโลก จึงได้ชื่อว่า “ดาวเคราะห์แห่งน้ำ” โลกมีแถบรังสีชื่อว่า แวนอัลเลน มีลักษณะเป็นเข็มขัดรูปขนมโดนัทห่อหุ้มโดยรอบ 2 ชั้น เรียกว่า เข็มขัดแวนอัลเลน  ทำหน้าที่คล้ายเกาะป้องกันโลก โดยจะกันอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์ไว้ในวงแหวนรังสี ไม่ให้ผ่านถึงโลกได้ง่าย แต่อาจมีอิเล็กตรอนบางส่วนเล็ดลอดผ่านแถบรังสีเข้าสู่บรรยากาศโลกได้แล้วไปทำปฏิกิริยากับอะตอมออกซิเจน และไนโตรเจนทำให้เกิดแสงเรืองขึ้นในท้องฟ้าแถบขั่วโลกเหนือและขั่วโลกใต้ เรียกว่า แสงเหนือและแสงใต้  แกนของโลกนั้นเอียงประมาณ 23.12 องศา กับแนวตั้งฉากกับระนาบทางโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดฤดูกาลต่างๆขึ้นบนโลก
        โลกหมุนรอบตัวเองโดยหมุนจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก หรือทวนเข็มนาฬิกา พื้นผิวโลกมีอากาศ ในอากาศมีก๊าซไนโตรเจนมากที่สุด มีก๊าซอกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่นๆทำให้มีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ นับเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้  โลกมีดวงจันทร์เป็นบริวาร 1 ดวง
        4. ดาวอังคาร (Mars) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 4 ซึ่งจะเห็นดาวอังคารมีลักษณะเป็นสีแดง จึงถูกเรียกว่า ดาวเคราะห์สีแดง (Red Planet) ชาวกรีกและโรมันจึงยกให้เป็นเทพแห่งสงคราม การที่เราเห็นดาวอังคารเป็นดาวแดง เนื่องจากเปลือกนอกของดาวอังคารเป็นออกไซด์ของเหล็ก (สนิมเหล็ก) มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณครึ่งหนึ่งของโลก มีบรรยากาศเบาบางมาก มีไอน้ำเล็กน้อย พื้นผิวเป็นหลุม บ่อ
        ดาวอังคารมีแกนเอียงคล้ายโลก คือ ประมาณ 25 องศา ทำให้เกิดฤดูกาลเช่นเดียวกับบนโลก นอกจากนี้ เวลา 1 วันบนดาวอังคารเกือบเท่ากับ 1 วันบนโลก  ดาวอังคารมีภูเขาที่สูงที่สุดในระบบสุริยะ คือ ภูเขาไฟโอลิมปัส (Olympus) และหุบเขาลึกชื่อว่า มาริงริส (Maringris) เป็นระบบแคนยอนที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ มีดวงจันทร์บริวาร 2 ดวง คือ โพบอสและไดมอส
        5. ดาวพฤหัสบดี (JuPiter) เป็นดาวเคราะห์ดวงแรกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 5 เป็นดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์เพราะมีองค์ประกอบเป็นก๊าซไฮโดรเจน และฮีเลียม คล้ายดวงอาทิตย์  ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวที่มีเนื้อสารมากที่สุดและมากกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นๆรวมกัน หมุนรอบตัวเองเร็วที่สุด
องค์ประกอบของดาวพฤหัสบดีคล้ายกับดวงอาทิตย์ คือ มีไฮโดนเจนและฮีเลียม ซึ่งเป็นก๊าซที่เบาถึง 99อีก 1 เป็นแกนหนซึ่งมีขนาดเท่ากับโลก  ดาวพฤหัสบดีมีดวงจันทร์บริวารมากมายถึง 63 ดวง แต่มีดวงใหญ่อยู่ 4 ดวง
กาลิเลโอเป็นผู้ค้นพบบริวาร 4 ดวงใหญ่ของดาวพฤหัสบดีเป็นคนแรก โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ที่เขาสร้างขึ้น จึงเรียกดวงจันทร์ทั้งสี่ดวงว่า  ดวงจันทร์กาลิเลียน หรือดวงจันทร์ของกาลิเลโอ มีชื่อว่า ไอโอ  ยุโรปา  แกนนีมีด และแคลลิสโต ซึ่งเป็นดวงจันทร์ขนาดใหญ่ เป็นดาวเคราะห์ “สีส้ม”
        6. ดาวเสาร์ (Saturn) เป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่เป็นที่ 2 รองจากดาวพฤหัสบดี อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 6 เป็นดาวเคราะห์ที่สวยงามมาก เพราะมีวงแหวนล้อมรอบ ความแปลกของดาวเสาร์อีกอย่างหนึ่งคือมีความหนาแน่นน้อยที่สุด คือมีความหนาแน่นเพียง 0.7 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งน้อยกว่าความหนาแน่นของน้ำ  วงแหวนดาวเสาร์มี 7 ชั้นใหญ่ ซึ่งแต่ละชั้นประกอบด้วยวงเล็กๆซ้อนกันเป็นพันๆวง ลักษณะของวงแหวนเป็นก้อนหินและก้อนของชั้นน้ำแข็ง  ดาวเสาร์มีดวงจันทร์บริวาร 50 ดวง บริวารดวงที่ใหญ่ที่สุดชื่อ ไททัน และใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในบรรดาดวงจันทร์ที่เป็นบริวารของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ “สีเหลือง”
        7. ดาวยูเรนัส (Uranus)  หรือดาวมฤตยู เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 7 ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 รองจากดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ แต่มีขนาดเล็กกว่าดาวพฤหัสบดีกว่าครึ่งหนึ่ง เป็นดาวเคราะห์ดวงแรกที่ถูกค้นพบโดยอาศัยกล้องโทรทรรศน์ เมื่อปี พ.ศ. 2324 ผู้ค้นพบคือ วิลเลียม  เฮอร์เชล (William  Herschell) นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ
        ดาวยูเรนัสมีขนาดใหญ่กว่าโลก โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่า 4 เท่าของโลก แต่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเพราะอยู่ไกล เมื่ออยู่ตรงข้ามดวงอาทิตย์จะเป็นตำแหน่งที่ใกล้โลกที่สุด ขณะนั้นจะอยู่ห่างโลก 19 เท่าของระยะระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์  ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ประเภทเดียวกับดาวพฤหัสบดี คือเป็นดาวเคราะห์ก๊าซ  ดาวยูเรนัสมีวงแหวนล้อมรอบคล้ายดาวเสาร์และดาวพฤหัสบดี ลักษณะวงแหวนมีขนาดบางๆประมาณ 10 ชั้นวงแหวนที่ล้อมรอบประกอบด้วยน้ำแข็งมืดที่เคลื่อนไหว วงแหวนดาวยูเรนัสมีความมืดมาก ผิดกับวงแหวนที่สว่างของดาวเสาร์ ถ้าไม่มองด้วยกล้องโทรทรรศน์ก็มองไม่เห็น  การที่เรามองเห็นดาวยูเรนัสมีสีน้ำเงินอมเขียว เนื่องจากก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศดูดซับแสงสีแดงเอาไว้ มีดวงจันทร์บริวาร 27 ดวง  ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ “สีเขียว”
        8. ดาวเนปจูน (Neptune) หรือดาวสมุทร เป็นดาวเคราะห์สีน้ำเงินกลมเล็กๆ อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 8 ซึ่งอยู่ห่างไกลมากและมีแสงสว่างค่อนข้างน้อยมาก (ดาวเนปจูนถือเป็นเทพเจ้าแห่งทะเล)ถูกค้นพบโดยนักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ โจฮันน์ จี.กาเล ใช้กล้องโทรทรรศน์ค้นพบในปี พ.ศ. 2389
        ดาวเนปจูนเป็นดาวเคราะห์ก๊าซประเภทดาวพฤหัสบดี มีขนาดใหญ่กว่าโลก แต่เล็กกว่าดาวยูเรนัส มีจุดดำใหญ่คล้ายจุดแดงใหญ่บนดาวพฤหัสบดี  นักดาราศาสตร์คิดว่าดาวเนปจูนอาจมีวงแหวน 5 วง วงแหวนของดาวเนปจูนประกอบด้วย วัตถุขนาดจิ๋วที่เย็นยะเยือกจำนวนมากเคลื่อนที่ไปรอบๆภายใต้แรงโน้มถ่วงของดาวเนปจูน  ดาวเนปจูนมีดวงจันทร์บริวาร 13 ดวง บริวารดวงเดิมที่มีชื่ออยู่เดิม คือ ไทรตัน และเนรีด ซึ่งไทรตันเป็นบริวารดวงใหญ่ที่สุดของดาวเนปจูน เป็นบริวารที่มีอุณหภูมิต่ำมาก  พื้นผิวเป็นน้ำแข็ง ดาวเนปจูนเป็นดาวเคราะห์ “สีน้ำเงิน”


2. ดวงจันทร์ 
        ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก หมุนรอบตัวเองและหมุนรอบโลกในอัตราความเร็วและเวลาเกือบเท่ากัน ทำให้คนบนโลกเห็นพื้นผิวดวงจันทร์เพียงด้านเดียวเสมอ และเป็นดาวเคราะห์ที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง และไม่มีอากาศห่อหุ้มเลย พื้นผิวของดวงจันทร์ถ้าดูด้วยกล้องโทรทรรศน์จะพบว่า ไม่เรียบ เป็นผิวขรุขระ เต็มไปด้วยภูเขาไฟที่ดับแล้วจำนวนนับไม่ถ้วนและหุบเหวลึก ดวงจันทร์โคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลาประมาณ 12 เดือน
        โลกและดวงจันทร์ต่างมีเงาที่ทอดยาวไปในอวกาศ จนเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ เมื่อดวงจันทร์ทอดเงามาที่โลกมาบังแสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาพื้นโลก ทำให้พื้นที่บนโลกบริเวณใต้เงาของดวงจันทร์มืดลง เรียกว่า การเกิดสุริยุปราคา และเมื่อเงาของโลกทอดไปยังดวงจันทร์จนมืดสนิท มองไม่เห็นดวงจันทร์ เรียกว่า การเกิดจันทรุปราคา
3. ดาวเคราะห์แคระ
        เป็นเทหวัตถุภายในระบบสุริยะที่มีคุณสมบัติ 4 ประการ
- เป็นวัตถุที่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์
- มีมวลมากพอที่จะทำให้มีแรงดึงดูดจนตัววัตถุมีขนาดเกือบเป็นทรงกลมสมบูรณ์
- ไม่เป็นบริวารของดาวเคราะห์ดวงอื่นหรือเป็นบริวารของวัตถุท้องฟ้าอื่นใด (ไม่ใช่ดวงจันทร์บริวาร)
- ไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดและวงโคจรของสิ่งต่างๆที่อยู่รอบวงโคจรของมัน
        ปัจจุบันมีดาวเคราะห์แคระทั้งหมด 5 ดวง ได้แก่  พลูโต (Pluto) ,ซีเรส (Ceres),อีริส (Eris) ,เฮาเมอา(Haumea),มาคีมาคี (Makemake)
        1. ดาวพลูโต (Pluto) เป็นชื่อของเทพเจ้าผู้ดูแลรักษานรก หรือโลกมืดใต้บาดาล ตรงกับเทพเจ้าของอินเดียว่า พญายม ผู้ดูแลรักษายมโลก จึงเป็นที่มาของชื่อในภาษาไทยว่า ดาวยม 
ดาวพลูโตมีขนาดเล็กที่สุดเมื่อเทียบกับดาวเคราะห์ที่เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ทั้ง 8 ดวง มีขนาดใกล้เคียงกับดวงจันทร์ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2,290 กิโลเมตร แต่มีบริวารชื่อ คารอน ซึ่งใหญ่มากเมื่อเทียบกับดาวพลูโต
2. อีริส (Eris) ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2546 มีองค์ประกอบพื้นผิวคล้านดาวพลูโต ถือเป็นดาวเคราะห์แคระขนาดใหญ่ที่สุดของระบบสุริยะ และมีบริวาร 1 ดวง ชื่อ ดิสโนเมีย (Dysnomia)
3. ซีเรส (Ceres) เป็นดาวเคราะห์แคระที่ดวงเล็กที่สุดในจำนวน 5 ดวง และเป็นดวงเดียวที่โคจรอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อยชั้นในที่อยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ต่างจากดาวเคราะห์แคระอีก 2 ดวง คือ พลูโต และอีริส  ซึ่งโคจรอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อย รอบนอกของระบบสุริยะ
4. เฮาเมอา (Haumea) ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2546 เช่นเดียวกับอีริส  เฮาเมอามีดาวบริวาร 2 ดวง คือ ฮีอี-อากา และนามากา
5. มาคีมาคี (Makemake)ถูกค้นพบเมื่อในปี พ.ศ. 2548 เป็นดาวเคราะห์แคระดวงล่าสุดที่ถูกค้นพบ ดาวมาคีมาคี ไม่มีดาวบริวาร
4. ดาวเคราะห์น้อย
        เป็นวัตถุขนาดเล็กๆจำนวนมากในระบบสุริยะ มีขนาดเท่าเม็ดฝุ่นจนถึงขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบพันกิโลเมตร  ประกอบด้วย หิน และโลหะ ดาวเคราะห์น้อยเป็นบริวารของดวงอาทิตย์และโคจรรอบดวงอาทิตย์เช่นเดียวกับดาวดวงอื่นๆ โดยเกาะกันเป็นวงแหวนอยู่ระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี
5. ดาวหาง (cometsเป็นวัตถุท้องฟ้าที่ไม่มีแสงในตัวเอง เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีมาก ขณะที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์จะไม่มีหางและหัว แต่เมื่อเคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์จึงจะมีหางและหัว หางจะยาวมากที่สุดเมื่ออยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด หางของดาวหางจะหันออกไปในทิศทางตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์เสมอ
        อุกกาบาต (Meteors) เป็นวัตถุนอกโลกที่ถูกเผาไหม้ไม่หมดขณะผ่านบรรยากาศโลก และเหลือตกลงมาบนพื้นผิวโลก เรียกว่า อุกกาบาต แต่ถ้าถูกเผาไหม้หมดมองเห็นเป็นแสงวาบ เรียกว่า ดาวตก หรือผีพุ่งใต้
       


























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น